7. หลักการและแนวคิดเกี่ยวกับการประเมินโครงการ
7.1 ความหมายของการประเมินโครงการ
สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2524 : 1) ได้ให้ความหมายของการประเมินโครงการไว้ว่าเป็นกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสนเทศสำหรับการตัดสินคุณค่าของโครงการ ผลิตผลกระบวนการจุดมุ่งหมายของโครงการ หรือทางเลือกต่าง ๆ เพื่อนำไปปฏิบัติให้บรรลุจุดมุ่งหมายจุดเน้นของการประเมิน คือ การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ข้อสนเทศ เพื่อตัดสินคุณค่าของสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะ
นิศา ชูโด (2538 : 9) กล่าวสรุปถึงความหมายของการประเมินโครงการว่า หมายถึง กิจกรรมการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ความหมายและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการและหาผลที่แน่ใจว่าเกิดจากโครงการ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนคุณภาพและประสิทธิภาพของโครงการให้ดียิ่งขึ้น
ประชุม รอดประเสริฐ (2539:73) ได้กล่าวถึงการประเมินโครงการ หมายถึง กระบวนการในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของการดำเนินโครงการ และพิจารณาตัวบ่งชี้ให้ทราบถึงจุดเด่นหรือจุดด้อยของโครงการนั้นอย่างมีระบบแล้วตัดสินใจว่าจะปรับปรุงแก้ไขโครงการนั้นเพื่อการดำเนินการต่อไป หรือยุติการดำเนินงานโครงการนั้นเสีย
สุวิมล ติรกานันท์ (2543 : 1-2) ได้กล่าวถึงการประเมินโครงการว่าเป็นการบรรยาย เก็บรวบรวมข้อมูล เกี่ยวกับเป้าหมาย การวางแผน การดำเนินการและผลกระทบ เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการตัดสินใจเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และเพื่อส่งเสริม ให้เกิดความเข้าใจในสถานการณ์ของโครงการและได้ให้ความหมายของการประเมินว่า เป็นการกำหนดคุณค่าหรือข้อดีบางสิ่งบางอย่างเป็นระบบ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในทุกขั้นตอนของการดำเนินงาน เพื่อให้ได้สารสนเทศที่สามารถใช้ใน การพิจารณาการดำเนินการ ซึ่งจะทำให้การดำเนินการเป็นไปได้อย่างทันท่วงที ในทางตรงกันข้ามผลการ
จากความหมายของการประเมินโครงการดังกล่าวข้างต้นพอสรุปได้ว่า การประเมินโครงการเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับโครงการใดโครงการหนึ่ง โดยมีการรวบรวมข้อมูลและวิธีการศึกษาอย่างเป็นระบบระเบียบ เพื่อเปรียบเทียบการปฏิบัติงานกับเป้าหมายที่กำหนดไว้
7.2 ความมุ่งหมายของการประเมินโครงการ
ประชุม รอดประเสริฐ (2539 : 74-75) ได้กล่าวถึงความมุ่งหมายการประเมินโครงการว่าการประเมินโครงการมีความมุ่งหมาย 3 ประการ
1. เพื่อแสดงผลการพิจารณาถึงคุณค่าของโครงการ
2. เพื่อช่วยให้ผู้ตัดสินใจมีการตัดสินใจที่ถูกต้อง
3. เพื่อการบริการข้อมูลแก่ฝ่ายการเมือง เพื่อใช้ในการกำหนดนโยบายและการประเมินโครงการมีความมุ่งหมายเฉพาะ ดังต่อไปนี้
3.1 เพื่อแสดงถึงเหตุผลที่ชัดเจนของโครงการอันเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการตัดสินใจว่าลักษณะใดของโครงการมีความสำคัญมากที่สุดซึ่งจะต้องทำการประเมินเพื่อหาประสิทธิภาพและข้อมูลชนิดใดที่จะต้องเก็บรวบรวมไว้เพื่อการวิเคราะห์
3.2 เพื่อรวบรวมหลักฐานความเป็นจริง และข้อมูลที่จำเป็น เพื่อนำไปสู่การพิจารณาถึงประสิทธิผลของโครงการ
3.3 เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูล และข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพื่อการนำไปสู่การสรุปผลของโครงการ
3.4 การตัดสินใจว่าข้อมูล หรือข้อเท็จจริงใดที่สามารถนำไปใช้ได้
สำราญ มีแจ้ง (2543: 8-9) กล่าวว่าการประเมินโครงการทางการศึกษามีความสำคัญดังต่อไปนี้
1. ช่วยชี้ให้เห็นว่าจุดประสงค์ของการดำเนินงานนั้นเหมาะสมและเป็นไปได้
2. ทำให้ทราบว่าการดำเนินงานนั้นบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่
3. กระตุ้นให้มีการเร่งรัดปรับปรุงการดำเนินงาน
4. ช่วยให้มองเห็นข้อบกพร่องในการดำเนินงานแต่ละขั้นตอน ซึ่งจะใช้เป็นหลักในการปรับปรุงการดำเนินงาน
5. ช่วยควบคุมการดำเนินงานให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นการลดความสูญเปล่าในการใช้ทรัพยากร
6. ช่วยให้ข้อสนเทศแก่ผู้บริการในด้านการดำเนินงาน
7. ใช้เป็นแนวทางในการกำหนดวิธีการดำเนินงานที่เหมาะสมในครั้งต่อๆ ไป
สรุปได้ว่าการประเมินโครงการมีความมุ่งหมายเพื่อแสดงผลการพิจารณาถึงคุณค่าของโครงการ ด้วยการนำข้อมูลไปวิเคราะห์หาประสิทธิผลเพื่อช่วยให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจนำไปใช้ได้ โดยคำนึงถึงความสำคัญของโครงการว่ามีความเหมาะสมเพียงใด บรรลุตามวัตถุประสงค์หรือไม่ เพราะผลการประเมินจะเป็นตัวกระตุ้นให้การดำเนินงานมีข้อบกพร่องน้อยลง ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้นในการทำงานของแต่ละโครงการ
7.3 ประโยชน์ของการประเมินโครงการ
จากความมุ่งหมายและความสำคัญดังกล่าวแล้ว พอสรุปได้ว่าการประเมินโครงการมีประโยชน์ในการกำหนดวัตถุประสงค์ และมาตรฐานของการดำเนินงานมีความชัดเจนทำให้องค์กรได้รับประโยชน์เต็มที่ ทำให้แผนงานบรรลุวัตถุประสงค์ เพราะโครงการเป็นส่วนหนึ่งของแผน ดังนั้นเมื่อโครงการได้รับการตรวจสอบวิเคราะห์ปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ดำเนินการไปด้วยดีช่วยการแก้ปัญหาอันเกิดจากผลกระทบ (impact) ของโครงการ และทำให้โครงการมีข้อที่ทำให้ความเสียหายน้อยลงทำให้การควบคุมคุณภาพของงาน เพราะการประเมินโครงการเป็นการตรวจและควบคุมชนิดหนึ่ง ช่วยในการสร้างขวัญและกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานตามโครงการ ทำให้การวางแผนหรือการกำหนดนโยบายของผู้บริหารและฝ่ายการเมืองเป็นสารสนเทศช่วยการตัดสินใจในการบริหารโครงการ
7.4 การจัดกลุ่มรูปแบบการประเมินโครงการ
การประเมินสามารถจัดเป็นกลุ่มโดยจำแนกตามวัตถุประสงค์ของการประเมินออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้ (เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี, 2542: 63-64 )
1) กลุ่มรูปแบบการประเมินเพื่อการตัดสินใจ (decision oriented evaluation) นักประเมินกลุ่มนี้มีความเชื่อในการประเมินที่เป็นระบบ โดยมีขั้นตอนการประเมินที่ครบวงจรซึ่งให้สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจที่เหมาะสมนักประเมินกลุ่มนี้ ได้แก่ ครอนบาค (Cronbach , 1963) สตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam , 1990) อัลคิล (Alkin , 1969) โปรวัส (Provus , 1971) รวมทั้งรูปแบบ CSE (Center for the Study of Evaluation) ซึ่งพัฒนาโดยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลอสแอนเจลิส (UCLA) ด้วย นักทฤษฎีการประเมินยุคใหม่ ได้ให้ความสนใจต่อรูปแบบของกลุ่มนี้มาก เพราะสามารถนำผลการประเมินไปใช้ในการตัดสินใจสำหรับการบริหารงานได้เป็นอย่างดี
2) กลุ่มรูปแบบการประเมินเพื่อการตัดสินคุณค่า (value oriented evaluation) นักประเมินกลุ่มนี้เห็นว่า การประเมินเป็นการให้คุณค่าหรือตีราคาสิ่งที่ถูกประเมิน การประเมินในลักษณะนี้ในยุคแรก ๆ มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์และขาดความเชื่อถือ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันรูปแบบการประเมินในกลุ่มนี้ได้มีผู้นิยมนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการเพื่อบริการสังคม หรือโครงการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งมักจะมีความซับซ้อน จึงต้องอาศัยวิธีการประเมินทั้งแบบมีระบบและแบบวิธีการธรรมชาติ (naturalistic approach) ควบคู่กันไปโดยให้ความสำคัญกับผลผลิตที่เกิดจากโครงการทั้งหมด แม้จะเป็นผลกระทบก็ถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญต่อการตัดสินใจคุณค่าเช่นกัน นักทฤษฎีประเมินที่มีความเชื่อตามแนวความคิดนี้ ได้แก่ สครีเวน (Scriven , 1967) กลาส (Glass , 1969) เวอร์เธนและแซนเตอร์ (Wcrthen $ Sandres , 1973) สเตก (Stake , 1974) ไอสเนอร์ (Eisner , 1979) เฮาวส์ (House , 1980) กูบาและลินคอล์น (Guba & Lincoin , 1981 ) เป็นต้น
8. การประเมินโครงการทดลองนำร่องจัดตั้งกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยใช้รูปแบบซีโป (CPO)
8.1 แนวคิดและรูปแบบของแบบจำลองการประเมิน ซีโป CPO
การประเมินโครงการ เป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูล และสารสนเทศที่จำเป็นอันจะนำไปสู่การตัดสินความสำเร็จ รวมทั้งแก้ไขปรับปรุง พัฒนา ตลอดจนการสร้าง และการกำหนดทางเลือกใหม่ในการดำเนินโครงการ ดังนั้น กิจกรรมการประเมินโครงการ จึงเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลและสารสนเทศที่จำเป็น เกี่ยวกับปัจจัยขั้นพื้นฐานของโครงการ ตลอดจนกระบวนการที่ปฏิบัติระหว่างดำเนินโครงการ และผลผลิตของโครงการ ภายใต้กิจกรรมและช่วยเวลาที่ได้กำหนดหรือวางแผนไว้ เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี (2542 : 301-319) ได้พัฒนาเป็นรูปแบบหรือแบบจำลองของการประเมินโครงการขึ้น ซึ่งแบบที่เหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด
แบบจำลอง
ภาพที่ 2 แบบจำลองการประเมิน “ซีโป (CPO) ” (CPO’S evaluation model)
สัญลักษณ์ที่ใช้ในภาพ 13 มีดังนี้
1………………… หมายถึง เส้นแบ่งระหว่างองค์ประกอบ ซึ่งแยกกันไม่เด็ดขาด
2. หมายถึง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างแต่ละองค์ประกอบในลักษณะของการสื่อสารแบบสองทางอย่างครบวงจร
3. C หมายถึง ปัจจัยพื้นฐานด้านสภาวะแวดล้อม (context)
4. P หมายถึง กระบวนการปฎิบัติระหว่างดำเนินโครงการ (process)
5. O หมายถึง ผลผลิตของโครงการ (outcome)
จากแบบจำลองข้างต้นจะเห็นได้ว่า การประเมินโครงการตามแนวคิดของเยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนใหญ่ ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่องตามลำดับ คือ 1) ปัจจัยพื้นฐานด้านสภาวะแวดล้อมของโครงการ (context) 2) กระบวนการปฏิบัติระหว่างดำเนินโครงการ (process) แล 3) ผลผลิตของโครงการ (outcome) เพื่อให้มีความเข้าใจง่ายขึ้นจะขอกล่าวถึงองค์ประกอบแต่ละส่วนพอสังเขปดังต่อไปนี้
- ปัจจัยพื้นฐานด้านสภาวะแวดล้อมของโครงการ (Context) หมายถึง “บริบท” ต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการทั้งปวง เช่น ปัจจัยทางทหาร ทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางวัฒนธรรม รวมทั้งปัจจัยทางกายภาพ และทางด้านจิตใจ เป็นต้น การประเมินในส่วนนี้เป็นการประเมินสภาวะแวดล้อมหรือ “บริบท” ต่าง ๆ ของโครงการที่กำหนดไว้ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ เพียงใด โดยพิจารณาถึง
1.1 ความต้องการจำเป็นของโครงการ (need assessment) เพื่อให้ทราบถึงความจำเป็นหรือความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อโครงการ สำหรับในประเทศไทย มีปัจจัยทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องมาก นับตั้งแต่ความต้องการของโครงการ เช่น อาจเป็นโครงการเพื่อสนองนโยบายของพรรคการเมือง หรือเพื่อมุ่งการหาเสียงมากกว่าเป็นความต้องการที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือเพื่อสนองโยบายของผู้บริหารหน่วยงาน เป็นต้น ในทางกลับกัน ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีความต้องการจริงแต่ไปขัดผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจหรืออาจทำให้โครงการนั้นต้องหยุดชะงักหรือล้มเลิกได้ด้วยวิธีการต่างๆ กัน เช่น ไม่สนับสนุนโครงการ หรือไม่อำนวยความสะดวกในการดำเนินโครงการเท่าที่ควร เป็นต้น
1.2 ความเป็นไปได้ของโครงการ(feasibility) เพื่อให้ทราบโอกาสในการจัดทำโครงการต้องวิเคราะห์ให้เห็นถึงปัญหาที่เป็นอุปสรรคหรือข้อจำกัด ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างดำเนินโครงการทั้งนี้เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาเสนอเป็นข้อมูลสารสนเทศหรือข้อสังเกตซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขหรือปรับปรุงโครงการ หรือเพื่อเสนอทางเลือกใหม่ในการดำเนินโครงการ ตลอดจนเพื่อประโยชน์ในการเจรจาต่อรองกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในส่วนที่เป็นเงื่อนไขบางประการ อันจะนำไปสู่การยุติปัญหาในที่สุด โครงการต่าง ๆ อาจจะมีปัจจัยทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องสูงมาก ประกอบกับรัฐบาลของไทยเป็นรัฐบาลผสมและมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง เป็นผลให้แนวนโยบายบางอย่างของรัฐบาลต้องปรับตามไปด้วย จึงทำให้โครงการต้องมีการทบทวนและบางโครงการต้องมีการทบวนและบางโครงการต้องหยุดชะงักหรือล้มเลิกด้วยปัจจัยทางการเมืองดังกล่าวแล้ว
1.3 วัตถุประสงค์ของโครงการ (objectives) เพื่อระบุถึงสิ่งที่ต้องการจะให้เกิดขึ้นจากโครงการ โดยพิจารณาจากกิจกรรมของโครงการในสภาพความเป็นจริง ส่วนที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แน่นอน จึงจำเป็นต้องแจ้งหรือชี้แจงให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แน่นอนทราบ เพื่อให้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ต่าง ๆของโครงการทั้งนี้เพื่อให้ความสำคัญกับโครงการ และเพื่อให้เกิดความสะดวกรวมทั้งการได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่
1.4 ความพร้อมและทรัพยากร (resources and readiness) ในด้านต่าง ๆ เช่น เงินทุนหรืองบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ บุลากร เป็นต้น ปัญหาเรื่องบประมาณอาจส่งผลถึงวัสดุอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินการ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากผลกระทบที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยทางการเมืองรวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องของความต้องการ และความเป็นไปได้ดังที่กล่าวมาแล้ว ทำให้การดำเนินโครงการล่าช้า และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นได้
จากที่กล่าวมาในเรื่องของสภาพแวดล้อมจะเห็นได้ว่า การดำเนินโครงการในประเทศไทยมักมีปัจจัยหรือเหตุผลด้านการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่บ่อย ๆ นอกจากนั้นหน่วยงานในระดับนโยบายต่าง ๆ มักจะขาดข้อมูลพื้นฐาน ไม่คำนึงถึงสภาพแวดล้อม แล้วมักวางแผนไว้อย่างหลวม ๆ โดยอ้างว่าเพื่อความยึดหยุ่น ทำให้ไปสู่การปฎิบัติได้ยากหรือไม่ได้ผลเท่าที่ควร ส่วนเรื่องความ
เป็นไปได้ของโครงการ ตลอดจนวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้และความพร้อม รวมทั้งทรัพยากรในด้านต่างๆ นั้นเป็นปัจจัยทางสภาวะแวดล้อมที่สำคัญสำหรับการประเมิน ซึ่งผู้ประเมินโครงการจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและครบถ้วนเสมอ ทั้งนี้เพื่อชี้ประเด็นปัญหาและเพื่อให้ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติได้อย่างสัมฤทธิ์ผลต่อไป
2. กระบวนการปฏิบัติระหว่างดำเนินโครงการ (process) หมายถึงขั้นตอนหรือกรรมวิธีที่จะต้องปฏิบัติตามลำดับก่อนหลังอย่างเป็นระบบและครบวงจร ในระหว่างดำเนินโครงการกระบวนการดังกล่าวอาจแตกต่างกันไปตามเป้าหมายในเชิงปรัชญาของแต่ละโครงการ เทียนฉาย กีระนันทน์ ( 2537 : 1-2 ) เช่น โครงการธุรกิจมีเป้าหมายหลักก็คือ การแสวงหากำไรจากการดำเนินธุรกิจนั้น ๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการลดทุนการดำเนินงานให้เหลือน้อยที่สุด ส่วนโครงการทางการศึกษาของรัฐบาลเป้าหมายหลักก็คือ การปลูกฝังความรู้ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เยาวชน และบุคคลทั่วๆ ไป โครงการประเภทนี้มุ่งจะไม่ยุ่งแสวงหากำไรสูงสุด แต่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติในระยะยาว เป็นต้น
ถึงแม้ว่ากระบวนการปฏิบัติระหว่างการดำเนินโครงการจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายในเชิงปรัชญาของแต่ละโครงการนั้น ๆ ดังที่กล่าวมาแล้วแต่สำหรับการประเมินโครงการโดยทั่วไปมีองค์ประกอบสำคัญที่จะต้องพิจารณาเป็นพิเศษก็คือความสอดคล้องของกิจกรรมและช่วงเวลาโดยพิจารณาถึง
2.1 กิจกรรม (activity) เพื่อให้ทราบว่ากิจกรรมนั้น ๆ มีความสอดคล้องหรือตรงกับวัตถุประสงค์ของโครงการหรือไม่และมีการจัดลำดับที่เหมาะสมต่อเนื่องกันมากหรือน้อยเพียงใด
2.2 ช่วงเวลา (timing) เพื่อให้ทราบว่าช่วงเวลาที่จะดำเนินโครงการทางด้านกิจกรรมนั้น ๆ มีความเหมาะสมเพียงไร มีข้อจำกัดประการใด และช่วงเวลาที่กำหนดไว้นั้น สามารถจะปรับเปลี่ยนไปจากเดิมได้ตามความจำเป็นหรือไม่ และเพราะเหตุใด
การดำเนินโครงการทางด้านบริการสังคมในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นนโยบายของรัฐบาลซึ่งจะมีปัญหาเรื่องช่วงเวลาที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยเรื่องการเมืองรวมทั้งปัญหาทางระบบกฎหมายและระเบียบของทางราชการที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น โอกาสที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องช่วงเวลา จึงประสบปัญหาได้ง่าย เช่น โครงการเกษตรที่ต้องอาศัยฤดูกาล หรือโครงการเร่งด่วนที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแต่ไม่ทันกับความต้องการ เช่น โครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เป็นต้น
นอกจากปัญหาเรื่องการเมืองและระเบียบของทางราชการแล้วยังมีปัญหาเรื่องความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ และลักษณะของโครงการที่จัดทำ ซึ่งบางโครงการมีหน่วยงานที่รับผิดชอบร่วมกันหลายหน่วยงาน หรือบางหน่วยงานมีนโยบายซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่นที่ทำให้ต้องจัดทำโครงการในลักษณะเดียวกัน สำหรับภาคเอกชนโดยทั่วไปจะมีความคล่องตัวสูงแต่ก็มักประสบปัญหาเรื่องงบประมาณ ทำให้การดำเนินโครงการอยู่ในวงแคบ จากที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่าช่วงเวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ที่มีผลต่อการดำเนินโครงการในประเทศไทย ทั้งด้านความสอดคล้องและความต่อเนื่องที่มีต่อกิจกรรมซึ่งกำหนดไว้
- ผลผลิตของโครงการ(outcome) คำว่า “ผลผลิต” (outcome) นั้นมีความหมายครอบคลุมคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ทั้ง 3 คำ ดังนี้ 1) product ผลิตผล 2) Output ผลลัพธ์ 3) Outcome ผลผลิต ด้วยเหตุนี้ คำว่า “ผลผลิตของโครงการ” จึงหมายถึง ผลงานหรือผลที่ได้จากการกระทำกิจกรรมใด ๆ ของแต่ละโครงการ โดยสามารถแบ่งผลงานดังกล่าวเป็น 3 ประเภท คือ ผลรวม (overall) ผลกระทบ (Impact) และคุณค่าหรือประโยชน์ (utility) ตามลำดับ
ในการประเมินผลผลิตของโครงการใด ๆ ก็ตาม จึงเป็นการประเมินเกี่ยวกับ สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากโครงการนั้น ๆ โดยพิจารณาถึง
3.1 ผลรวม (overall) เพื่อให้ทราบถึงผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากกิจกรรมของโครงการทั้งโดยทางตางและทางอ้อม
3.2 ผลกระทบ (impact) เพื่อให้ทราบถึงผลที่ตามมาจากการดำเนินโครงการนั้น ๆ ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งผลกระทบจากที่คาดหวังและมิได้คาดหวังไว้
3.3 คุณค่าหรือประโยชน์ (utility) เพื่อให้ทราบถึงคุณค่าหรือความสำคัญของผลที่ได้จากการประเมินทั้งนี้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจหรือเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมต่อไป
กล่าวโดยสรุป การประเมินผลผลิตของโครงการจะทำให้ทราบถึงข้อมูลที่แท้จริงได้อย่างครบถ้วน แม้ว่าในบางครั้งจะมีปัญหาอุปสรรคที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุผลทางกฎระเบียบ และเงื่อนไขบางประการ ทำให้การประเมินโครงการในบางครั้งไม่สามารถครอบคลุมทุกขั้นตอนที่กำหนดไว้ได้บางโครงการจึงอาจจะประเมินเฉพาะผลผลิตที่เป็นผลรวมหรือบางโครงการก็อาจจะประเมินเฉพาะความรู้สึกทั่ว ๆ ไป ของผู้เกี่ยวข้องที่มีต่อโครงการเท่านั้น ด้วยเหตุนี้การประเมินผลผลิตของโครงการจึงต้องยึดหยุ่นไปตามสภาพที่เหมาะสมและความจำเป็นของแต่ละโครงการ
8.2 คุณลักษณะสำคัญของแบบจำลอง ซีโป (CPO)
แบบจำลองการประเมิน “ซีโป (CPO)” ที่ได้พัฒนามาเพื่อใช้ประเมินโครงการต่างๆ ในประเทศไทยนั้นได้เน้นการประเมินในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มตั้งแต่การประเมินปัจจัยพื้นฐานด้านสภาวะแวดล้อมอย่างละเอียด การประเมินกระบวนการปฏิบัติระหว่างดำเนินโครงการและการประเมินผลผลิตของโครงการตามลำดับ จึงนับว่าเป็นรูปแบบของการประเมินที่ครบวงจร
ถึงแม้ว่าตามโครงสร้างของแบบจำลอง “ซีโป (CPO)” นี้กระบวนการประเมินจะไม่สามารถเริ่มดำเนินการตั้งแต่ตอนเริ่มต้นของการพัฒนาโครงการ แต่ผู้ประเมินก็สามารถจะหาข้อมูลหรือสารสนเทศต่าง ๆ ที่จำเป็นของโครงการนั้น ๆ ได้จากทุกขั้นตอนทำให้ทราบปัญหาหรือข้อขัดแย้งที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติโครงการรวมทั้งทำให้ทราบว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหามีใครบ้าง ซึ่งอาจจะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้มีโอกาสเจรจาต่อรองกันทุกขึ้นตอนไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับแนวโน้มของการประเมินโครงการในยุคได้เป็นอย่างดี เพราะผู้ประเมินโครงการมีบทบาทสำคัญในการหาทางให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้มีโอกาสร่วมกันแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกันนี้ให้ยุตด้วยวิธีการเจรจาต่อรองทั้งโดยทางตรงหรือทางอ้อมแล้วแต่กรณี
อนึ่งการเจรจาต่อรองโดยทางตรง ในที่นี้หมายถึงการเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้พูดจากันอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการที่ผ่านมา โดยอาศัยข้อค้นพบที่ได้รับจากการประเมินโครงการนั้น ๆ เป็นพื้นฐานที่สำคัญ เช่น การจัดกิจกรรมของรัฐบาลบางโครงการไม่สามารถจะดำเนินการได้ทันตามผังเวลาที่กำหนด เพราะติดขัดเกี่ยวกับระเบียบของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณที่ทางราชการได้วางไว้ ในกรณีเช่นนี้ ก็ควรจัดให้มีการเจรจาต่อรองกันโดยตรงระหว่างบุคคล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะได้หาทางแก้ปัญหาร่วมกันว่า จะสามารถดำเนินงบประมาณสำรองจากส่วนใดมาใช้แทนไปก่อนได้บ้างโดยที่ไม่ขัดต่อตัวบทกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับของทางราชการ ตลอดจนไม่ทำให้โครงการนั้น ๆ เกิดผลเสียหายตามมาในภายหลังได้
ส่วนการเจรจาต่อรองทางอ้อม หมายถึง การที่ผู้ประเมินได้ปฏิบัติตนเป็นสื่อกลางระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยทำหน้าที่ช่วยเจรจาประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่ยังไม่มีข้อยุติให้ผู้เกี่ยวของทุกฝ่ายได้เข้าใจอย่างชัดเจน สำหรับในกรณีที่การเจรจาต่อรองไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ บาทบาทของผู้ประเมินก็สามารถจะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องแต่ละฝ่ายได้ตระหนักถึงสภาพปัญหาของตน เพื่อที่จะได้แสวงหาทางเลือกที่ดีที่สุด ในการแก้ปัญหาและพัฒนาโครงการเหล่านั้นให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในโอกาสต่อไป การเจรจาต่อรองทั้งทางตรงและทางอ้อมของทุกฝ่าย ตามนัยของแบบจำลองการประเมิน “ซีโป (CPO)” นี้ จะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม และต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งคุณธรรมที่ดีงามของสังคมด้วย
กล่าวโดยสรุป คุณลักษณะที่สำคัญของแบบจำลอง “ซีโป (CPO)” ได้พัฒนามาจากแนวความคิดหลัก 4 ประการคือ 1) แนวคิดเกี่ยวกับการเจรจาต่อรองทั้งทางตรงและทางอ้อม 2) แนวคิดเกี่ยวกับการให้ความสำคัญแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อให้ผลการประเมินเป็นที่ยอมรับและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม 3) แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินที่เป็นระบบอย่างครบวงจรและตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรมในสังคม และ 4) แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินที่สอดคล้องกับบริบท ซึ่งเป็นสภาวะแวดล้อมของโครงการ
จากคุณลักษณะรูปแบบการประเมินโครงการต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ผู้ประเมินได้พิจารณาเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย จุดเด่น และจุดด้อย ของรูปแบบการประเมินโครงการต่าง ๆ แล้วพบว่า การประเมินโครงการแบบ “ซีโป (CPO)” (CPO’S evaluation model) มีจุดเด่นหลายประการสำหรับการประเมินโครงการในประเทศไทย และมีความเหมาะสมที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับการประเมินโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา ดังนี้
- แบบจำลองการประเมิน “ซีโป (CPO)” ซึ่งพัฒนาโดยคนไทย (เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี) มีการศึกษารูปแบบการประเมินแบบต่าง ๆ แล้วนำมาปรับปรุงพัฒนาจนได้รูปแบบที่เหมาสมสอดคล้องกับประเพณีวัฒนธรรมของสังคมไทย ในยุคปัจจุบัน
- เมื่อได้พิจารณาเปรียบเทียบรูปแบบการประเมินแบบอื่น ๆ แล้วปรากฏว่า แบบจำลองการประเมิน “ซีโป (CPO)” สามารถประเมินได้ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญ ๆ ของโครงการทดลองนำร่องจัดตั้งกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
- มาตรฐานงานเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา (Standards of Information Technology for Educational)
สำนักเทคโนโลยี สพฐ. ได้กำหนดมาตรฐานงานเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา (Standards of Information Technology for Educational) ดังนี้
มาตรฐานที่ 1 แผนงานและนโยบาย
มาตรฐานที่ 2 ระบบคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และระบบเครือข่าย
มาตรฐานที่ 3 ระบบฐานข้อมูลและสารสนเทศ
มาตรฐานที่ 4 บุคลากร
มาตรฐานที่ 5 การบริหารจัดการและการรักษาความปลอดภัย
มาตรฐานที่ 1 แผนงานและนโยบาย
ตัวชี้วัดที่ 1.1 มีแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสำนักงาน ระยะ 3-5 ปี ที่รองรับกับแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ตัวชี้วัดที่ 1.2 มีแผนปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสำนักงาน ที่เป็นไปตามตัวชี้วัดที่ 1.1
ตัวชี้วัดที่ 1.3 มีการกำกับ ติดตาม ประเมินผล และรายงานผลการดำเนินงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสำนักงานในแต่ละปี
ตัวชี้วัดที่ 1.4 มีการกำหนดนโยบาย (Policy) ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสำนักงาน
มาตรฐานที่ 2 ระบบคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และระบบเครือข่าย
ตัวชี้วัดที่ 2.1 มีระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Server) ที่สามารถให้บริการและรองรับงานที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานตามภารกิจได้
ตัวชี้วัดที่ 2.2 มีคอมพิวเตอร์สำหรับเจ้าหน้าที่สำนักงาน เพื่อใช้ปฏิบัติงานตามภารกิจได้แบบ 1:1
ตัวชี้วัดที่ 2.3 มีระบบและการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายภายนอกที่ได้มาตรฐาน มีความเสถียรภาพ มั่นคง และปลอดภัย
ตัวชี้วัดที่ 2.4 มีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในสำนักงาน เชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่าย ตามตัวชี้วัดที่ 2.1 และเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายภายนอก ตามตัวชี้วัดที่ 2.3 ที่ได้มาตรฐาน มีความเสถียรภาพ มั่นคง และปลอดภัย
ตัวชี้วัดที่ 2.5 มีการจัดหา หรือ พัฒนา หรือ ประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์ เพื่อสนับสนุนและรองรับงานที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานตามภารกิจได้
ตัวชี้วัดที่ 2.6 มีการจัดทำ หรือ ให้บริการรายละเอียดคุณลักษณะครุภัณฑ์เฉพาะของระบบคอมพิวเตอร์/ซอฟต์แวร์/ระบบเครือข่ายได้
มาตรฐานที่ 3 ระบบฐานข้อมูลและสารสนเทศ
ตัวชี้วัดที่ 3.1 มีฐานข้อมูลและสารสนเทศด้านการบริหารจัดการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานตามภารกิจ ครบถ้วน ถูกต้อง และเป็นปัจจุบันเช่น นักเรียน, ครูและบุคลากร, โรงเรียน และสื่อการเรียนการสอน
ตัวชี้วัดที่ 3.2 มีการจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศลงในระบบบริหารจัดการฐานข้อมูลที่ได้มาตรฐานและมีความน่าเชื่อถือ
ตัวชี้วัดที่ 3.3 มีระบบหรือกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่เชื่อถือได้
ตัวชี้วัดที่ 3.4 มีระบบสืบค้นข้อมูลและสารสนเทศ ที่ยืดหยุ่นได้ตามเงื่อนไข และสะดวกต่อการใช้งานทั้งนี้ต้องครอบคลุมข้อมูลและสารสนเทศในทุกด้านที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานตามภารกิจ
ตัวชี้วัดที่ 3.5 ให้บริการข้อมูลและสารสนเทศแก่บุคคลที่มาขอรับบริการ ตามความเหมาะสม
มาตรฐานที่ 4 บุคลากร
ตัวชี้วัดที่ 4.1 มีการแต่งตั้งบุคลากรของสำนักงานให้ทำหน้าที่ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง หรือ Chief Information Officer: CIO
ตัวชี้วัดที่ 4.2มีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญ ดังต่อไปนี้
1) งานด้านระบบคอมพิวเตอร์
2) งานด้านระบบเครือข่าย
3) งานด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์
4) งานด้านการบริหารจัดการระบบฐานข้อมูลและสารสนเทศ
5) งานด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอน
มาตรฐานที่ 5 การบริหารจัดการและการรักษาความปลอดภัย
ตัวชี้วัดที่ 5.1 ระบบงาน ระบบคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย สามารถให้บริการได้โดยไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของระบบที่ติดขัดหรือหยุดการทำงาน แบบ 24×7
ตัวชี้วัดที่ 5.2 มีเว็บไซต์หลักของหน่วยงานที่ได้มาตรฐาน W3C และมีชื่อโดเมนภายใต้ .go.th
ตัวชี้วัดที่ 5.3 ร้อยละ 95 ของบุคลากรที่ใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของราชการ (.go.th) เพื่อปฏิบัติภารกิจ
ตัวชี้วัดที่ 5.4 มีแผนการสำรอง (Backup) และ การนำกลับคืน (Restore) ข้อมูลและสารสนเทศ
ตัวชี้วัดที่ 5.5 มีการติดตั้งและใช้งานระบบป้องกัน และการตรวจจับการบุกรุกระบเครือข่ายของสำนักงาน
ตัวชี้วัดที่ 5.6 มีการบันทึกและติดตามการใช้งานระบบเครือข่ายของหน่วยงานตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ตัวชี้วัดที่ 5.7 มีระบบพิสูจน์ตัวตน และการกำหนดสิทธิการใช้งานหรือเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน